Thursday, August 27, 2015

สูตรลดพุงล้างไขมันในลำไส้

โทษไขมันเกาะในร่างกาย+สูตรลดหน้าท้องล้างใส้

สาวๆที่สะสมไขมันไว้ในร่างกาย สะสมไว้ไม่ดีนะคะ นิวเลยมาแชร์ข้อมูลโทษของไขมันที่เกาะในร่างกายส่งผลอะไรกันมั่ง

โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมาจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น

1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย
2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ
3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว
4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย
5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด
6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า
7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย

มาแชร์สูตรล้างลำใส้่กะทุ้งไขมันเกาะไว้กะเทาะกะแทะออกไปและยังช่วย ลดไขมันหน้าท้องได้อี๊กฉะน้าน เรามาป้องกันการเกิดไขมันเกาะในผนังลำไส้และก่อโรคอ้วน

หน้าท้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร On The Way On The Way นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้ามันสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้องมาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอ ๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ เราจึงมีวิธีทำสูตรนี้มาแนะให้ทำกันค่ะ

สูตรลดหน้าท้องนี้จะช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้

สูตรโล๊ะไขมันเกาะ

ส่วนผสม

นมสดรสจืด 1 กล่อง

โยเกิร์ตรสจืด ครึ่งถ้วย

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

มะนาว 1 ลูก

น้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต

นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ และต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล มะนาวก็ควรบีบแล้วกินทันที เพื่อรักษาคุณสมบัติวิตามินซีไว้ และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น

สรรพคุณไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงเนื่องจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ต ทำให้ลำใส้ทำงานได้ดีไม่ทำให้ลำใส้บวมหน้าท้องป่องควรกินทุกเช้าติดต่อกันทุกวัน

เปิดสูตรยาสมุนไพรรักษาโรคคนจน

ยารักษาโรค เป็นปัจจัยสำคัญ ที่มนุษย์ทุกคนขาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ยาแผนโบราณมีผู้นิยมมากขึ้น โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย

นายหนูแก้ว บุญสุภาพ อายุ 76 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ที่ 1 ต.ไก่คำ อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ เป็นอีกผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร เพราะได้ศึกษามาจากบรรพบุรุษ สั่งสมประสบการณ์ไว้หลายปี ใช้ความรู้ ความสามารถนำสมุนไพรที่หาได้ในท้องถิ่น มาใช้การรักษาโรคต่างๆ จนเป็นที่ยอมรับ และได้ใบประกอบโรคศิลปะเป็นเครื่องยืนยันอีกด้วย

นายหนูแก้ว เล่าความหลังให้ฟังว่า ปู่เป็นแพทย์แผนโบราณ หรือที่เรียกกันว่า หมอพื้นบ้าน หลังจากที่เรียนจบภาคบังคับชั้นประถมปีที่ 4 แล้ว ก็สนใจอยากจะเป็นเหมือนปู่บ้าง จึงอาสาติดตามไปทุกหนทุกแห่งศึกษาเรียนรู้ในสรรพคุณของสมุนไพรแทบทุกชนิด ตลอดจนวิธีการรักษาผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการแช่ด้วยน้ำสมุนไพร การอบการต้ม กินและอาบ จนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญขึ้นตามลำดับ

ต่อมา เมื่อมีอายุครบเกณฑ์ทหารจึงไปเป็นทหารอยู่ 3 ปี ระหว่างนั้น ได้รู้จักกับหมอสมุนไพรที่มีชื่อใน จ.อุบลราชธานี ชื่อหมอคำผาน คำผาก และหมอคำพา จุลบุตร ที่แปรรูปสมุนไพรเป็นยาน้ำ ยาผง และยาลูกกลอน เมื่อปลดจากทหารแล้ว ก็ได้ไปขอเรียนรู้กับทั้งสอง อยู่ถึงประมาณ 5 ปี จนได้รับใบประกอบโรคศิลปะ สามารถประกอบการรักษาโรคด้วยสมุนไพรแผนโบราณได้อย่างถูกต้อง

นายหนูแก้ว กล่าวว่า ปัจจุบันได้ปลูกสมุนไพรไว้จำนวนมากในสวนหลังบ้าน เนื้อที่ 1 ไร่ อย่างเช่น ขมิ้นชัน และว่านต่างๆ ส่วนที่ไม่ได้ปลูกก็ไปหาเอาตามภูเขา ก็มีพลังเสือโคร่ง ม้ากระทืบโรง และอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งก็หาไม่ยาก เพราะยังมีป่าไม้อยู่อีกมาก

นายหนูแก้ว บอกว่า สมุนไพรที่เป็นยารักษาโรคนั้นมีมากมายหลายชนิด แต่จะบอกเคล็ดลับและสูตรให้ 4 อย่าง เพื่อเป็นวิทยาทาน หากผู้ใดป่วยก็สามารถนำไปทดลองกินได้ คือ

1.ยารักษาโรคสตรีตกขาว ให้เอาใบส้มป่อย ใบส้มเสี้ยว ใบมะขามแขกใบมะขามเปรี้ยว สารส้ม ดินประสิวหัวกะทือบ้าน ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 ใส่กาหรือหม้อต้ม โดยใส่น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวจนเหลือ 1 ส่วน น้ำ 1 แก้ว ใช้ดื่ม 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น อาการตกขาวก็จะหายทันที

2.ยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ให้ใช้ต้นกำแพง 7 ชั้น หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ต้นตาใกล้ ต้นกำแพง 9 ชั้น ใช้ทั้งต้นที่เป็นเถาวัลย์และใบปะปนกัน  Vi Vi Un Te Te Tr Te Co Ji Ji Ji Me Mi Pa Al A Vo Fo Si Fo Ei Bp Ma Ju Ba Ju Ju Me El El La St Ha Do Do Ju Ju Li Li  นำไปต้มในหม้อดิน โดยใส่น้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน น้ำ 1 แก้ว ดื่ม 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น จนกระทั่งยาจืด แค่ 3 หม้อก็จะหาย ที่สำคัญถ้ามีอาการระบายท้องอย่าตกใจว่าท้องเสีย เพราะเป็นลักษณะของยาประเภทนี้

3.ยาถ่ายพยาธิ มีส่วนประกอบคือ ต้นมะเกลือใช้ทั้ง 5 ส่วน คือ ราก ลำต้น ดอก ใบและผล โดยนำไปใช้ได้ทั้ง 2 แบบ คือ แบบต้ม ให้นำมะเกลือ 5 ส่วน กับน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวจนเหลือน้ำ 1 ส่วน ให้เด็กดื่มครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ผู้ใหญ่ครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ
ก่อนนอนทุกวัน พยาธิก็จะตายถ่ายออกมากับอุจจาระ หรือทำเป็นแบบลูกกลอน โดยใช้ลูกมะเกลือที่ยังไม่สุกตากแห้งและลูกสระแก
ที่คั่วจนกรอบ ในสัดส่วนที่เท่ากันมาบดเป็นผง แล้วเอาลูกสลอดคั่วให้สุกมาบดเป็นผง นำผงสะแกและผงมะเกลือ 20 ช้อนชา
ผงสลอดปลายช้อนชา ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วผสมกับน้ำผึ้งเป็นลูกกลอนนำไปตากแดดให้แห้ง รับประทานตอนเช้ามืด
ครั้งละ 7-8 เม็ด โดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ห้ามทานอย่างเด็ดขาด พยาธิก็จะตายและถ่ายออกมา

4.ยารักษาโรคดีซ่านและตับอักเสบ ให้เอาแก่นสะเดา เถาชะลูด ชะเอมเทศหรือชะเอมไทมารวมกัน เอาไปต้มจากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือ 1 ส่วน น้ำ 1 แก้ว ทาน 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ทุกวันจนยาจืด 5 หม้อก็จะหาย

นอกจากนี้ยังทำลูกประคบสมุนไพรสำหรับผู้ที่ร่างกายฟกช้ำ ดำเขียว เคล็ด ขัด ยอกตามร่างกาย ก็ให้เอาลูกประคบสมุนไพรที่ผ่านการนึ่งแล้วประคบบริเวณดังกล่าวก็จะหาย ส่วนวิธีทำลูกประคบ ประกอบด้วย ไพรขมิ้น ตะไคร้หอม เขาเอนอ่อน กิสนา ใบหนาด ว่านต่างๆ การบูร และพิมเสน ให้เอาทั้งหมดไปหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วตากแดดจนแห้ง ห่อด้วยผ้าใส่กระบอกตำให้พอดี แล้วใช้เชือกมัดเป็นลูกประคบ ขายอันละ
20 บาท

สำหรับน้ำหมักสมุนไพร ก็มีการทำจำหน่าย 3 ชนิด คือ น้ำหมักสมุนไพรลูกยอ น้ำหมักลูกสมอพิเภกและน้ำหมักมะขามป้อม ซึ่งมีสรรพคุณ เช่น แก้ปวดเมื่อย ต้านโรคมะเร็ง จำหน่ายขวดละ 40 บาท การทำไม่ได้ยุ่งยากอะไร นำลูกสมอพิเภก
ผลแก่ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตากแดดให้แห้งสนิท ต่อมา นำไปใส่ภาชนะที่เตรียมไว้ จำนวน 6 กก./น้ำตาล 1 กก. ใส่เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ หมักไว้ 6 เดือนหรือ 1 ปี ก็นำไปใช้ประโยชน์ได้ มีสรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ ดื่มประมาณ 7 วัน ก็จะหายเป็นปกติ

นายหนูแก้ว หมอพื้นบ้าน บอกทิ้งท้ายว่า Bp Li Li Bu Ki Ra Am Am Ki Th Da Sa Po Ro Ka Ma Sa Vi Mi Ca Ca Pr Vi Do Ji Bo Re Ma Re Sa Sa Bu Lo Ra Da Di 3 ตลอดระยะเวลา 25 ปี ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีรายได้น้อยมากมาย บางคนไม่มีเงินก็จะรักษาให้ยาไปกินแบบฟรีๆ ที่ผ่านมามีหน่ายงานราชการและนักเรียนนักศึกษาเดินทางเข้ามาศึกษาดูงานตลอดเวลา และยังได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรบรรยายในโรงเรียนและหน่วยงานราชการอย่างต่อเนื่องอีกด้วย...

20 อาหารล้างพิษ

1. สาหร่าย : ช่วยดูดซึมคลื่นรังสีที่สะสมในร่างกาย สามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วย นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก

2. หัวหอม : ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยทำความสะอาดหลอดเลือด ลดระดับ LDL ตัวการก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น รักษาโรคหอบหืด โรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่

3. มะนาว : เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูง น้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอน ดื่มสัปดาห์ละ 1-2 วัน จะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น

4. เมล็ดแฟลกซ์ : อุดมไปด้วยกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยบำรุงความจำ และมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับ LDL นอกจากนี้ยังมีสารที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันอีกด้วย

5. กระเจี๊ยบ : น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยขจัดชื้อแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ

6. ทับทิม : สามารถรักษาอาการอักเสบ ลดการติดเชื้อ

7. พืชตระกูลถั่ว : (เช่น ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว) จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน วยลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยทำความสะอาดและลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ได้ดี มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมาก ช่วยในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่

8. ขึ้นฉ่าย : ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำ หรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้า He Bo Cu Ka Ka Ka Gr El Ke Ra Ti Ti Pa La Ba Pa Bp Ke Ja Ma Ca Tu Ke Li Da เพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็ง และสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย

9. แครอท : มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษ (ระบบทางเดินประสาท สายตา และผิวหนัง) ลดการเกิดมะเร็ง ช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น

10. มะเขือพวง : สามารถช่วยดูดซึมและดักจับไขมันในอาหาร และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย และลดการสะสมของเสีย

11. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต : ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

12. กระเทียม : ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร ฆ่าเชื้อไวรัส โดยเฉพาะทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไป ซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย

13. บลูเบอร์รี่ : ช่วยลดการระคายเคือง สารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะได้

14. กะหล่ำปลี : มีสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ ช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร รักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ

15. บีทรูท : ต่อต้านชื้อโรค ทำความสะอาดเลือด ตับ และระบบน้ำเหลือง อีกทั้งมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีทรูทช่วยปรับระดับกรด – ด่างในเลือดให้สมดุลด้วย

16. อะโวคาโด : มีสารกลูตาไทโอน ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิด และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมีและโลหะหนักออกได้ง่ายขึ้น

17. ตำลึง : ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

18. แอปเปิ้ล : ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง  Do Cu Cu Va Le Ce Sh To Na St To Bu Da Sa To Sp Ta Ma Sa Ma Ni Tu ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส จากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็ก และไมเกรนในผู้ใหญ่ได้

19. อัลมอนด์ : เป็นถั่วที่มีใยอาหารสูง มีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย แม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

20. กล้วย : ช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเหลว หรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูก ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย

สูตรยารักษาผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด

 รักษางูสวัด บอกต่อกันนะคะ เป็นวิทยาทานกัน โรคนี้รักษายาก บางทีอาจช่วยคนที่กำลังเป็นอยู่ให้หาย บางคนถึงกับเสียชีวิตเลยค่ะ…มีคุณแม่ท่าน 1 อุ้มลูกอายุ 7 ขวบมาหลบฝนที่หน้าบ้านบ่นว่าคลีนิคหมอปิดเพราะฝนตกร้านขายยาก็ปิดน้องเป็นผื่นปวดแสบคันมากเราเลยขอดูผื่นน้อง…จริงๆแล้วน้องเป็นงูสวัดเกือบรอบอกค่ะก็เลยบอกวิธีทำยาสมุนไพรรักษาเองได้ผลนะคะแม่เราเคยเป็นงูสวัดเราก็รักษาเองง่ายๆ

ดังนี้ค่ะ-- ใบหญ้านางเขียว(ที่ใส่แกงหน่อไม้อะนะ) 10ใบ- ใบพลูเคี้ยวหมาก3-5ใบ - Mi Lu Th Ma Sa St Di Di L Al Ma Fo Bu To Pa Al M Ni La Lo Th Gl Ur Al ว่านหางจรเข้หางใหญ่เอาแต่วุ้น2หาง- เสลดพังพอนตัวเมีย1-2กำมือ- ใบเหงือกปลาหมอ2-3ใบ- ข้าวสารเหนียวแช่น้ำนิดหน่อย(เอาทั้งข้าวทั้งน้ำแช่ข้าว)- น้ำเย็นหรือน้ำฝน 1-2 แก้ว

?#?วิธีทำ?#…ล้างสมุนไพรให้สะอาด เอาทั้งหมดปั่นแล้วกรองคั้นเอาแต่น้ำมาทาผื่นเหลือก็แช่เย็นเก็บไว้...สูตรนี้รักษาได้ทั้งผื่นบวม, ตุ่มที่เป็นน้ำใสๆ,งูสวัด,เริม,ผื่นคัน.

*** เห็นคนทั่วไปเป็นกันมากจึงขอแนะนำต่อ ช่วยกันแชร์ด้วย ***

สูตรยารักษาผู้ป่วยที่เป็นงูสวัด
- ใบหญ้านางเขียว (ที่ใส่แกงหน่อไม้) 10 ใบ
- ใบพลูกินกับหมาก 3-5 ใบ
- ว่านหางจรเข้หางใหญ่เอาแต่วุ้น 2 หาง
- เสลดพังพอนตัวเมีย 1-2 กำมือ
- ใบเหงือกปลาหมอ 2-3 ใบ
- ข้าวสารเหนียวแช่น้ำนิดหน่อย (เอาทั้งข้าวทั้งน้ำแช่ข้าว)
- น้ำเย็นหรือน้ำฝน 1-2 แก้ว

วิธีทำ.....
…ล้างสมุนไพรให้สะอาด เอาทั้งหมด ปั่นหรือตำกับครกแล้วกรองคั้นเอา แต่น้ำมาทาผื่นเหลือก็แช่เย็นเก็บไว้
...สูตรนี้รักษา  Me Bo La Co Bp Tu Mi Mi La La Ho Na La La Pi Or Na Su Fe Bo Or Bo Ra ได้ทั้งผื่นบวม,ตุ่มที่เป็นน้ำใสๆ,งูสวัด,เริม,ผื่นคัน ถ้ามีอาการปวดเป็นไข้ ให้รับประทาน พาราเซตามอล ห้ามใช้ยาที่มีแอสไพรินเด็ดขาด (รูปภาพ 6 รูป)

54 ประโยชน์เริดๆ จากเบกกิ้งโซดา

แรกเริ่มเดิมทีเราก็ชอบใช้น้ำยาที่มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายมาทำความสะอาดบ้าน จนมาเอะใจตอนที่เบบี๋กำลังหัดคลานและเอาทุกสิ่งที่ขวางหน้าเข้าปาก ว่าตายล่ะหว่า!เจ้าตัวเล็กของเราคงต้องกินสารเคมีเข้าไปด้วยแน่ๆเลย ทำไงดีอะทีนี้

และแล้วนกก็ไปเสาะแสวงหาหนังสือแปลญี่ปุ่นเล่มนึงเจอ มันเกี่ยวกับการใช้เบกกิ้งโซดา+น้ำส้มสายชูทำความสะอาดบ้าน น่าสนแฮะ ก็เลยเอามาทดลองทำดูหลากหลายวิธี เวิร์คมักนะขอบอก ประหยัดแถมปลอดภัย

ตั้งแต่นั้นมาเบกกิ้งโซดาต้องมีติดบ้านไว้เป็นสิ่งสามัญประจำครอบครัวกันเลย ขาดกันไม่ได้แร้ว นกจึงรวบรวมคุณประโยชน์จากเบกกิ้งโซดามาให้ 54 วิธี มีตั้งแต่ใช้ขัดหน้าได้ไปจนใช้ซ่อมผนังได้!!! อ้าวไม่เชื่อลองอ่านดูนะ

แก้เจ็บคอ

ผสมเบคกิ้งโซดาครึ่งช้อนชาลงในน้ำเปล่า ใช้กลั้วคอทุกๆ 4 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บคออันเกิดจากกรด รวมทั้งยังช่วยรักษาแผลในช่องปากได้อีกด้วย…

ดับกลิ่นปาก?

สูตร 1 ผสมเบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำ 1 แก้ว ดับกลิ่นหอมกลิ่นกระเทียมได้ ถ้าใช้เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 1 แก้ว และผสมเกลือ 1 ช้อนโต๊ะใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากได้

ขัดฟันให้ขาว?

นำเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชาผสมน้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา ใช้แปรงสีฟันจุ่มแล้วขัดฟันเบาๆ บ้วนน้ำเปล่าจนสะอาด คราบชากาแฟจะหายไป

สครับขัดหน้า?

สูตร 1 เอาเบคกิ้งโซดา 3 ส่วน น้ำเปล่า 1 ส่วน ผสมกันให้ได้เปียกๆแล้วขัดหน้าเบาๆหน้าจะสะอาดดีค่ะ

สครับขัดผิว?

เบคกิ้งโซดาครึ่งถ้วย เกลือครึ่งถ้วย มะนาว 1 ลูก น้ำมันทาผิว 2 ช้อนโต๊ะ เอาผสมกันก่อนจะใช้แล้วก็เอามาขัดผิวระหว่างอาบน้ำค่ะ

สปาเท้า?

เบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วย เกลือทะเล 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมินต์ และน้ำอุ่นใส่ในกะละมังแช่เท้า แช่แล้วสบายเท้าดี จะช่วยฆ่าเชื้อโรค ดับกลิ่นเท้า รวมทั้งความร้อนจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าได้อีกด้วย

บรรเทาอาการผิวไหม้แดด?

ผสมเบคกิ้งโซดาลงในน้ำอุ่นสำหรับอาบ จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดจากผิวไหม้แดดได้

แช่น้ำอุ่น ?

หากคุณอยากผ่อนคลาย เบกกิ้งโซดาก็สามารถช่วยได้เช่นกัน โดยคุณเพียงแค่ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในน้ำอุ่นที่คุณจะแช่ตัว เท่านี้ก็จะเหมือนพักผ่อนอยู่ในสปาเลยทีเดียว

ทำความสะอาดเส้นผม

ผสมเบกกิ้งโซดาหนึ่งช้อนชาเข้ากับแชมพูสระผมตามปกติของคุณ เพื่อช่วยขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผม (วิธีนี้จะดีเป็นพิเศษกับผมเส้นเล็ก)

ช่วยทำให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้น

เติมเบกกิ้งโซดาประมาณหนึ่งหยิบมือลงในชามน้ำอุ่น แล้วแช่มือไว้ในนั้นเป็นเวลาสองสามนาที ก่อนจะล้างน้ำให้สะอาด ก็จะช่วยให้หนังหุ้มเล็บนุ่มขึ้นได้

ฮ่องกงฟุต?

อาการคันตามง่ามเท้าเพราะติดเชื้อราหรือที่เราเรียกว ่า ฮ่องกงฟุต อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ยารักษาเชื้อราในบ้านบางทีคุณอาจมียารักษาเชื้อราอยู ่แล้วคือ เบคกิ้งโซดา สามารถลดอาการคันและแสบร้อนตามง่ามนิ้วเท้า ใช้เบคกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำพอให้เหนียวๆ แล้วนำมาทาที่เท้า จากนั้นล้างเท้าและเช็ดให้แห้ง ปิดท้ายด้วยการทาแป้งข้าวโพดบริเวณที่คัน ยาตำรับต่อไปนี้แม้ว่าจะฟังดูแปลกสักหน่อย แต่ล้วนได้รับคำรับรองจากผู้ที่ทดลองใช้มาแล้วว่าได้ ผลชะงัด ได้แก่ แอลกอฮอล์เช็ดแผล น้ำส้มไซเดอร์หรือน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล (apple cider vinegar) ผงกระเทียม สเปรย์ใส่ผม และน้ำผึ้ง ให้คุณเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ทาวันละ 3-4 ครั้ง

บรรเทาอาการลมพิษ?

วิธีคือ ใช้ผงเบคกิ้งโซดาผสมกับน้ำ 2-3 หยดพอให้เป็นแป้งเปียก ทาบริเวณผื่นเพื่อลดการระคายเคืองและแก้คัน

ยาลดกรด ??

ใครที่เกิดอาการแน่นท้องไม่ต้องไปซื้อยาแพงๆให้เปลือง เพราะคุณสามารถจัดการเองได้ง่ายๆ ด้วยเบกกิ้งโซดาผสมน้ำเปล่าธรรมดา ๆ อย่างละครึ่งถ้วยนี่แหละ

น้ำยาล้างสารพิษจากผักและผลไม้?

นำเบคกิ้งโซดา 1/2 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 10 ลิตร แช่ผักผลไม้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า 2 ครั้ง สามารถลดสารพิษได้ 90%

น้ำยาล้างคราบในกาน้ำชาที่เป็นโลหะ?ใส่น้ำลงในกาน้ำชาแล้วเติมเบคกิ้งโซดาลงไป 2 ช้อนโต๊ะ บีบน้ำมะนาวลงไปครึ่งลูก ต้มราวๆ 15 นาที ขัดและล้างจะสะอาดง่าย
ครีมลบรอยขูดขีดเครื่องครัว?ละลายเบคกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำ 1 ลิตร ทำความสะอาดเครื่องครััวที่ทำด้วยฟอร์ไมก้า สเตนเลส พลาสติก โครเมี่ยม (ยกเว้นอะลูมิเนียม) ริ้วรอยจะเลือนหายไปน้ำยาทำความสะอาดเตาไมโครเวฟ?นำเบคกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 1 ลิตร นำผ้ามาชุบแล้วเช็ดทำความสะอาดภายใน คราบสกปรกจะเช็ดออกง่าย

หมักหมูนุ่ม ใส่นิดเดียวค่ะ หมักหมูก็จะนุ่ม ถ้าใส่มากเกินจะมีกลิ่นสารเคมี

ดับไฟในกะทะ?ในกรณีที่มีน้ำมันกระเด็นติดไฟนิดๆขณะทำอาหาร หรือว่าไฟติดในกะทะ อย่าเทน้ำลงไป เพราะว่าการเทน้ำลงไปบนน้ำมันที่ร้อนๆอยู่จะทำให้ไฟล ุกมากขึ้นเนื่องจากน้ำมันกระจาย ให้ใช้เบคกิ้งโซดาค่ะ แห้งๆนั่นแหละ เทลงไปตรงๆเบกกิ้งโซดาพอโดนความร้อนมันจะปล่อยคาร์บอ นไดออกไซด์ออกมาช่วยทำให้ไฟลดน้อยลงได้ค่ะ

ทำเค้กให้ฟูนุ่มน่ากิน?ก็ต้องมีเบคกิ้งโซดาเป็นส่วนผสม

ถ้าอยากได้ไข่เจียวฟูหอมอร่อยน่ากิน?ก็ใส่เบกกิ้งโซดาลงไปครึ่งช้อนชาต่อไข่ 3 ฟอง ก็จะทำให้ไข่เจียวดูฟูน่ากินทันตาเห็น

เวลาที่ถูกแมลงต่อย?คุณก็สามารถใช้เบกกิ้งโซดาผสมน้ำทาบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้เช่นกัน
ดับกลิ่นอับในตู้เย็น เบคกิ้งโซดาจะดูดกลิ่นอับในตู้เย็น หากคุณนำไปใช้ดูดกลิ่นในตู้เย็น ให้เปิดฝากล่องด้านบนออกให้หมด หรือเทใส่ถ้วย ทิ้งไว้ด้านในสุดของตู้แล้วคอยเปลี่ยนทุก 3 เดือน
ขจัดคราบไขมัน ที่ติดรอบท่ออ่างล้างจาน?ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆ จะเป็นเหตุให้ท่ออุดตันได้ มีวิธีทำคือ นำเกลือแกงใส่ลงไปในท่อ 2-3 ช้อน จากนั้นนำเบคกิ้งโซดา ไปต้มกับน้ำให้ เดือดแล้วเทลงไปไขมันที่อุดตัน ก็จะหลุดออกไปหมด

ปัญหาเรื่องท่ออุดตันด้วยคราบไขมันในอ่างล้าง?ให้โรยเกลือรอบๆ ขอบท่อ จากนั้นนำน้ำยาเบคกิ้งโซดา 10 ช้อนโต๊ะผสมน้ำร้อนๆ 1 ขวดลิตร ค่อยๆ เทลงไป เกลือและน้ำยาจะช่วยให้คราบไขมันหลุดออกง่ายขึ้น และทำซ้ำอีก 2-3 รอบ ตามด้วยน้ำเปล่าปิดท้าย หากคราบยังไม่ยอมออกก็คงต้องพึ่งช่างแล้วค่ะ

ทำความสะอาดเขียง?ผสมเบคกิ้งโซดากับน้ำทำความสะอาดเขียง จะช่วยทำให้เขียงหมดกลิ่นคาว
หากครัวของคุณเต็มไปด้วยคราบมัน?การใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูอย่างละ 1 ถ้วยเช็ดสามารถช่วยขจัดคราบเหล่านั้นให้คุณได้

?ขจัดกลิ่นเหม็นสาปที่ติดอยู่ภายในกระติกน้ำแข็ง?นำเบกกิ้งโซดามาผสมกับน้ำร้อน แล้วนำมาล้างถูภายในกระติกน้ำให้ทั่ว เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำอีกครั้งกลิ่นเหม็นสาปก็จะหายไป

น้ำยาล้างคราบในกาน้ำชาที่เป็นโลหะ?ใส่น้ำลงในกาน้ำชาแล้วเติมเบกกิ้งโซดาลงไป 2 ช้อนโต๊ะ บีบน้ำมะนาวลงไปครึ่งลูก ต้มราวๆ 15 นาที ขัดและล้างจะสะอาดง่าย

น้ำยาทำความสะอาดเครื่องสุขภัณฑ์?เทเบคกิ้งโซดา 1/2 กล่องลงในถังนำหลังชักโครก ทิ้งไว้ 1 คืนแล้วค่อยกดชักโครก

น้ำยาดับกลิ่นพรม?ผสมเบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยกับแป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นโปรดลงไป 15 หยด ใส่ขวดสเปรย์ฉีดบนพื้นพรมก่อนนอนทิ้งไว้จนเช้า กลิ่นพรมจะสะอาดสดชื่น
น้ำยาซักผ้าขาวสะอาด?สูตร 1. ใส่ผงเบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วนในเครื่องซักผ้าพร้อมกับน้ำยาซักผ้า จะทำให้ผ้าขาวและสีจะสดขึ้น

โซเดียมไบคาร์บอเนต?สูตร 2. ใช้ตอนซักผ้า ใส่เบคกิ้งโซดา 1/2 ถ้วยลงในน้ำสุดท้ายที่กำลังจะล้างฟองออกจะทำให้ผ้ากล ิ่นสะอาดขึ้นค่ะ

ดับกลิ่นอับของเสื้อผ้าที่เราสวมใส่?เมื่อจะใช้ให้ผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งถ้วย (1 ถ้วย = 16 ช้อนโต๊ะ) กับผงซักฟอกชนิดน้ำปริมาณที่คุณใช้ แทนที่คุณจะใช้สารฟอกขาวชนิดคลอไรด์ถึงถ้วยหนึ่งเต็ม ๆ คุณสามารถใช้เพียงครึ่งหนึ่งเข้าไปแทนที่ได้ Mi Ju Ha Ha Hu Vi Vi Sa Si Sa Ha Da Da Fi Mi Tu Ps Co Pa Bi Ka Sp Br Fa แต่ก็อย่าลืมว่าถึงเบกกิ้งโซดาจะใช้ซักเสื้อผ้าได้ แต่มันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการซักเท่ากับผงซักฟอก เบคกิ้งโซดาจึงเป็นเพียงส่วนเสริมให้ผ้าสะอาดมากขึ้น เท่านั้น

ใช้ล้างแปรงและหวี?เอาเบคกิ้งโซดา 1 ช้อนชา ผสมน้ำอุ่นในชามอ่างเล็กๆ แช่หวีกับแปรงไว้ค่ะ มันจะทำให้พวกคราบต่างๆหลุดออกได้ง่าย

ทำความสะอาดที่ดัดฟัน (retainers)?2 ช้อนชากับน้ำอุ่น 1 ถ้วย แช่ไว้สักพักแล้วเอาแปรงขัดๆปัดๆคราบออก

ดับกลิ่นแมว?ให้เอาเบคกิ้งโซดาเทลงไปใน litter box ของแมว ก่อนที่จะใส่ litter หลังจากนั้น ทุกครั้งที่คุณทำความสะอาด litter box พอตักอึแมวไปแล้วก็เอาเบกกิ้งโซดาโรยนิดๆด้านบนเพื่อ เป็นการกลบกลิ่นค่ะ

พื้นผิวสิ้นคราบสกปรก?สำหรับพื้นผิวแข็งๆ เช่น พื้นครัว พื้นห้องน้ำ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ให้ละลายเบคกิ้งโซดา 4 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 4 ถ้วย เช็ดทำความสะอาด แล้วค่อยล้างออก ในกรณีที่มีคราบสกปรกทำความสะอาดยาก ให้ผสมเบกกิ้งโวดากับน้ำอุ่นในปริมาณที่เท่ากันข้นจน เป็นแป้ง จากนั้นให้พอกทิ้งไว้บริเวณที่มีคราบสกปรก อย่างเช่น บนเคาน์เตอร์ หรือจานกระเบื้องสัก 1 ชั่วโมงแล้วค่อยเช็ดออก

เช็ดเตารีด?ใช้ผ้าชุบน้ำผสมเบคกิ้งโซดาบิดพอหมาด นำไปเช็ดใต้เตารีด หรือเครื่องครัว ที่ทำด้วยฟอร์เมก้า สแตนเลส โครเมี่ยม จะทำความสะอาดได้หมดจดไม่เกิดรอยขูดขีด

ดับกลิ่นพรม?โรยเบคกิ้งโซดาให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที แล้วดูดออก

สำหรับพรมที่เปื้อนคราบน้ำมัน?ให้เทน้ำผสมเบคกิ้งโซดาลงตรงบริเวณที่เปื้อนคราบน้ำม ัน ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมง คราบก็จะจางลง จากนั้นให้ใช้น้ำผสมเบกกิ้งโซดาเช็ดทำความสะอาดซ้ำอีกครั้ง
กลิ่นรองเท้า?ปัญหาใหญ่ของใครหลายคนเพราะรองเท้าถูกใช้งานทั้งวัน เก็บหมักหมมเหงื่อไคล?ความอับชื้นง่ายมาก วิธีก็คือ โรยเบคกิ้งโซดาในรองเท้า แล้วนำรองเท้าคู่นั้นใส่ถุงพลาสติกรัดให้แน่น นำไปแช่ช่องแช่แข็งของตู้เย็นไว้ 1 หรือ 2 คืน นำรองเท้าออกมาทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง แล้วเอาไปสลัดผงเบคกิ้งโซดาออกให้หมดแล้วสวมได้เลย แต่หากเรายังไม่สวมทันทีให้ปล่อยผงเบคกิ้งโซดาไว้อย่ างนั้นก่อนจนกว่าจะนำมาสวม หรือใช้กระดาษหนังสือพิมพ์อัดเป็นก้อนมาใส่ด้านในรอง เท้า หมึกของกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดกลิ่น และยังทำให้รองเท้าอยู่ทรงด้วย ทุกครั้งที่กลับบ้านให้ใส่กระดาษหนังสือพิมพ์ทุกครั้ ง และเปลี่ยนแผ่นใหม่ทุกอาทิตย์

ทำความสะอาดเครื่องปิ้งขนมปัง?เอาผงเบกกิ้งโซดาโรยลงบนผ้าเปียกแล้วเอาไปเช็ดตามตะแกรง?จะช่วยให้เครื่องปิ้งขนมปังของคุณกลับมาสะอาดเหมือนใหม่ได้

?กำจัดรอยไหม้ตามหม้อหรือกระทะด้วยการเอาเครื่องครัวเหล่านี้ไปแช่ในน้ำอุ่นที่ผสมเบกกิ้งโซดาพอประมาณสัก 15 นาทีก่อนจะล้างออก ก็จะช่วยให้รอยไหม้เลือนหายไปได้

ทำความสะอาดครื่องชงกาแฟ?ด้วยการโรยเบกกิ้งโซดาลงไปพอประมาณ แล้วกดให้เครื่องทำงานตามปกติ ก็จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่เกาะติดให้น้อยลงได้

ล้างหน้าต่างบานเกล็ดด้วยน้ำอุ่นที่ผสมเบ๊กกิ้งโซดา 3/4 ถ้วยตวงราดน้ำให้เปียกทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง ก่อนใช้แปลงขัดออก

รอยด่างเป็นวงหรือรอยจุดบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ หากเกิดความร้อนบางครั้งก็อาจขัดออกได้ด้วยการผสมยาสีฟัน และเบ๊กกิ้งโซดาในสัดส่วนเท่าๆ กันใช้ผ้านุ่มเช็ดออกเบาๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ขัดเงาด้วยก็ได้หากจำเป็น
ขจัดคราบหยดน้ำบนพื้นไม้โดยการใช้เบ๊กกิ้งโซดากับกับผ้าขี้ริ้วหมาดๆ เช็ดออกจำไว้ว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ไม่ควรทำให้เปียก

สีเทียนบนผนัง ใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดเบ๊กกิ้งโซดาเพื่อเช้ดคราบสีเทียนที่ติดบนผนังล้างๆ เช็ดถูเบาๆ วิธีนี้จะช่วยทำความสะอาดคราบสกปรกส่วนใหญ่อื่นๆ รวมทั้ง คราบน้ำมัน ดินสอ และปากกา มาร์คเกอร์ได้ด้วย

ช่อมรอยร้าว?ผสมเบ๊กกิ้งโซดากับน้ำเล็กน้อยให้เปียกๆ ข้นๆ เพื่ออุดรูตามผนังที่มีรอยปูนแตกร้าว เพื่อซ่อมแซมเป็นการชั่วคราว เมื่อมันแห้งแล้วจะดูกลมกลืนเข้ากับฝาผนังปูนพลาสเตอร์ขาว เมื่อต้องการซ่อมแซมอย่างถาวรให้ผสมมผงฟูกับกาว (ลาเท็กซ์) ซ่อมแซมสีขาวที่ใช้ตามบ้านเรือน
ทำความสะอาดแป้นพิมพ์คีบอร์ด ด้วยแปลงสีฟันขนอ่อนๆ ขัดโดยใช้เบ๊กกิ้งโซดา4 ช้อนโต๊ะละลายกับน้ำ 1 ถ้วยตวง จากนั้นใช้กระดาษชำระเช็ดออก

ทำความสะอาดไม้ถูพื้น?แช่ไม้ถูพื้นหรือไม้กวาดในน้ำ 1 ถัง ละลายเบ๊กกิ้งโซดา 4 ช้อนชา แต่ให้แช่หลังจากที่ชำระสิ่งสกปรกออกไปแล้ว วิธีนี้จะเป็นการกำจัดกลิ่นเหม็นอับตกค้างบนไม้ถูพื้นหลังแช่ตากให้แห้งบ้านสุขภาพดี

ทำความสะอาดกระเป๋าเดินทาง?ป้องกันไม่ให้ภาชนะกระเป๋าเดินทางขิงคุณมีกลิ่นเหม็นอับเหม็นชื้นจากเชื้อรา  Ka Mi Pu Jo Al Gl Sa Mi Mi Ba Na Na El El Gu Th Th Ju Ba Ba Ma Ca Tr โยดการโรยเบ๊กกิ้งโซดาลงบนภาชนะข้าวของเครื่องใช้ก่อนที่จะเก็บเข้าที่เข้าทางอย่างมิดชิด
ขจัดกลิ่นเหม็นอับอกจากผ้านวม ฟ้าห่มหลังจากทที่คุณเก็บไว้นานๆ โรยเบ๊กกิ้งโซดาลงบนผ้านั้น ม้วนเก็บไว้สัก 2 ชั่วโมง จากนั้นสะบัดออกและตบให้ฟูหรือใช้ไดร์เป่าลมให้ฟูโดยไม่ใช้ความร้อนเป่า
เล่นศิลปะกับลูก

แค่นำสีผสมอาหารมาผสมกับน้ำส้มสายชูและนำไปหยดใส่ผงเบกกิ้งโซดา ผงเบกกิ้งโซดาก็จะเกิดฟองสีขึ้นทันที สามารถนำสีหลายๆสีมาเล่นผสมสีกันได้ เด็กๆจะตื่นเต้นกันมากเวลาผงเบกกิ้งโซดาฟูขึ้นมาเป็นฟองแล้วแตกออก

ใครมีวิธีการใช้ประโยช์จากเบกกิ้งโซดาเพิ่มเติม เอามาแชร์กันหน่อยนะจ๊า

5 สมุนไพรไทยลดความดันโลหิตสูง

คนไทยที่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปเป็นโรคความดันโลหิตสูงถึงร้อยละ 22 โรคความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และโรคความดันโลหิตสูงยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคหัวใจอีกด้วย สมุนไพรไทยที่มีผลช่วยลดอาการความดันโลหิตสูง ที่น่าสนใจมีดังนี้

1.กระเจี๊ยบแดง

จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ พบว่า กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ขับยูริก รวมทั้งลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดในไตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2-3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิตตัวล่างลงได้ตั้งแต่ร้อยละ 7.2 ถึง 13 เลยทีเดียว ดังนั้น ชากระเจี๊ยบจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

2.ขึ้นฉ่าย

“ขึ้นฉ่าย” ชาวเอเชีย นิยมใช้ขึ้นฉ่ายเป็นยาลดความดันโลหิตมากว่า ๒ พันปีแล้ว ชาวจีน ชาวเวียดนามแนะนำให้กินขึ้นฉ่ายวันละ 4 ต้น เพื่อรักษาความดันให้เป็นปกติ แพทย์อายุรเวทในอินเดียจะสั่งจ่ายเมล็ดขึ้นฉ่ายเพื่อขับปัสสาวะสำหรับผู้ป่วยที่บวมน้ำ ปัจจุบันมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า ขึ้นฉ่ายมีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ลดบวม คุมกำเนิด ลดจำนวนอสุจิ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ยับยั้งเนื้องอก ต้านการอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ขับระดู เป็นต้น

3.บัวบก

“บัวบก” เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำและหลอดเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี Ic Oa Ca Ho Te Te St Ba Ba Wi Ma Jo La Or Hi Ly Hu Oa Pa Pa G Sa Er  จึงสามารถลดความดันโลหิตได้ นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น มีฤทธิ์คลายความเครียด ซึ่งฤทธิ์คลายความเครียดนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงด้วย

4.คาวตอง หรือพลูคาว

“คาวตอง หรือพลูคาว” หมอยาทั่วไป ทั้งอีสาน ภาคเหนือ หรือไทยใหญ่มีความเชื่อว่าการกินคาวตองสดๆ กับน้ำพริก ลู่ ลาบ  หรือใช้รากต้มกับปลาไหล รากตำเป็นน้ำพริกกินจะเป็นยารักษาโรคได้ เช่น ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวาร แผลในกระเพาะอาหาร พลูคาว นับเป็นผักสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยและจดสิทธิบัตรมากตัวหนึ่ง ซึ่งจากการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ต่างพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพลูคาวเช่นเดียวกับการใช้ประโยชน์ของหมอยาพื้นบ้าน

5.มะรุม

“มะรุม” นับเป็นอาหารสุขภาพที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด โดยจากประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศ และการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่า ส่วนของใบและรากของมะรุม มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตได้ รวมทั้งพบสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดความดันโลหิต เช่น niazinin A, niazinin B, niazimicin และ niaziminin A and B

สำหรับตำรับยาแก้ความดันโลหิตสูง ซึ่งต้องกินอย่างต่อเนื่อง เช่น ตำรับที่ 1 นำรากมาต้มกินเป็นซุป ตำรับที่ 2 นำยอดมาต้มกิน ตำรับที่ 3 นำยอดอุ๊ปใส่เนื้อวัวกิน ซึ่งต้องเป็นเนื้อวัวเท่านั้น ตำรับที่ 4 นำรากมะรุมต้มกับรากย่านางกิน ตำรับที่ 5 ใช้ยอดมะรุมสด  An St Lo Fo Ja Cu W Ca To Pr Ka Vo Ca Ka Fo Fu He Pe Ha Ol Bu To Sp Tu โดยจะเป็นยอดอ่อนหรือยอดแก่ก็ได้ นำมาโขลกคั้นเอาน้ำ (ถ้าไม่มีน้ำให้เติมน้ำลงไปพอให้เหลวข้น) ผสมน้ำผึ้งพอหวาน กินวันละ ๒ ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว ยานี้จะช่วยลดความดัน เมื่อหยุดกินยาความดันโลหิตก็เพิ่มขึ้นมาอีก จึงต้องกินอย่างต่อเนื่อง โดยกินมะรุมทำเป็นอาหารเท่านั้น

***หมายเหตุ กรณีมะรุม ห้ามกินมะรุมผงแคปซูล (ทั้งใบมะรุม และเม็ดมะรุม) เพื่อลดความดันโลหิต เพราะเป็นอันตรายต่อตับ

เส้นเลือดขอด

สวัสดีค่ะ วันนี้หมอมาพูดเรื่อง "เส้นเลือดขอด" ที่หมอเคยสัญญาไว้นะคะ แม้ว่าที่คลินิคของหมอเองจะไม่ได้ทำเรื่องนี้ แต่ก็เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับแฟนเพจสาวๆหลายคนค่ะ หมอเชื่อว่าใครๆก็อยากมีเรียวขาสวย ไม่มีเส้นเลือดขอดกันทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดมีเส้นเลือดขอดแล้วล่ะ จะทำไงดี ?

- เส้นเลือดขอดคืออะไร ?
เส้นเลือดขอด (varicose vein) คือการขยายตัวของเส้นเลือดดำใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจจะแค่เห็นเป็นเส้นสีแดง,สีเขียว หรือปูดขึ้นมาเป็นก้อน

ปัจจัยเสี่ยง (risk factors)
- อายุมาก
- เพศหญิงเป็นมากกว่าเพศชาย (เชื่อว่าเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศหญิงด้วย) คนที่รับประทานยาคุมกำเนิดก็เพิ่มปัจจัยเสี่ยงในข้อนี้ด้วย
- อ้วน
- การตั้งครรภ์ก็มีโอกาสมีเส้นเลือดขอดมากขึ้น
- อาชีพที่ยืนนานๆก็มักพบว่ามีการพบเส้นเลือดขอดได้มาก
- พันธุกรรม (เช่นพันธุกรรมที่มีลิ้นเส้นเลือดไม่แข็งแรงเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งเราก็แก้ไขพันธุกรรมไม่ได้ค่ะ)

เกิดขึ้นได้ยังไง ? (คำถามนี้สำคัญมาก ควรจะอ่านค่ะ รู้เหตุจะได้แก้ไขได้ถูกต้องค่ะ ) สาเหตุที่ชัดเจนยังไม่ทราบ แต่ทราบว่าลิ้นในเส้นเลือดดำ ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดไหลมาในทิศทางย้อนเกิดมีความอ่อนแรง ไม่ปิดสนิท เกิดภาวะไหลย้อน และมีความอ่อนแอของผนังเส้นเลือดร่วมด้วย

อาการ (จริงอาการไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความรุนแรง เช่นบางครั้งมองเห็นเส้นเลือดขอดไม่รุนแรง แต่มีอาการปวดมาก)...จัดระดับได้แบบนี้
1. ไม่มีอาการ แค่มองเห็นเส้นบางๆเล็กๆ สีม่วงๆแดงๆ
2. อาการชาที่น่อง (ซึ่งการนวดก็พอจะช่วยได้บ้าง)
3. อาการคัน
4. มีอาการปวดๆบริเวณที่มีเส้นเลือดขอด โดยเฉพาะเวลาเดินมากก็จะมีอาการได้มากกว่า อาการปวดมักดีขึ้นเมื่อนอนยกขาสูง หรือบีบนวดขาบริเวณที่มีอาการ (นวดเปล่าๆไม่ใช้ยาอะไรอาการปวดก็ดีขึ้นได้ค่ะ)
5. อาการบวม
6. นอกจากนี้ ผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอด ก็อาจมีสีที่คล้ำขึ้น ,ผิวแห้งขึ้น,ผิวแข็งขึ้น หรือบางทีก็เป็นแผลได้

- ความรุนแรงและการรักษา
รุนแรงน้อย(ตามรูป3) จะเห็นเลือดเลือดบางๆตื้นๆ สีออกแดงๆม่วงๆ อาจมีอาการปวดหรือไม่ก็ได้ค่ะ การรักษาอาจจะเป็นการฉีดสาร(sclerotherapy)  De Ho Do Fl Ar Dk Pa Or Da Ho Su Ra Sa To Ki Ki Ki Tr Tr An Al Be Da   ไปในเส้นเลือดผิดปกตินั้น ให้ตันไป (ไม่ต้องกลัวนะคะ เพราะจะมีเส้นเลือดเส้นอื่นๆทำงานได้ค่ะ ) เป็นการฉีดยาเข้าไปในเส้นเลือดเล็กๆนั้น จิ้มหลายๆจุด มีอาการเจ็บ ปวดแสบๆเวลาฉีด หลังฉีด อาจมีแดง บวม หรือดูเส้นสีคล้ำๆขึ้น ทำหลายครั้ง (รายละเอียด รบกวนสอบถามคลินิคที่จะไปรักษาค่ะ) , หรือการรักษาเป็นการยิงเส้นเลือดขอดด้วยเลเซอร์ (มีหลายยี่ห้อ รบกวนคุยรายละเอียดกับคลินิคที่จะรักษานะคะ)

รุนแรงปานกลาง (ตามรูป 4) เส้นเลือดที่เป็นมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นบริเวณกว้างขึ้น มีเส้นเลือดเขียวๆมากขึ้น การรักษาคล้ายกับแบบรุนแรงน้อย แต่ทำหลายครั้งกว่าค่ะ

รุนแรงมาก ( ตามรูป 5 ) ซึ่งจะดูไม่สวยงาม และคนที่เป็นมักมีอาการปวดบริเวณเส้นเลือดที่ปูด  การรักษาคือการผ่าตัดค่ะ (vein stripping) วิธีอื่นๆไม่สามารถทำได้ค่ะ รายละเอียดการผ่าตัดขอไม่พูดถึงค่ะ ถ้าท่านใดเป็นรุนแรงขนาดนั้นและต้องการรักษา ก็แนะว่าไปตรวจและปรึกษากับคุณหมอผ่าตัดจะตรงที่สุด

ส่วนใหญ่หลังการรักษาคุณหมอก็จะแนะนำให้ใส่ถุงน่องหนาๆไว้ ค่ะ ส่วนจะใส่นานเท่าไหร่ก็แล้วแต่ท่านเห็นเหมาะสมค่ะ
- การรักษานอกเหนือจากนี้ ต้องขอบอกจริงๆว่า ไม่ทราบค่ะ แนะว่าลองอ่านหัวข้อเกิดขึ้นได้ยังไงอีกครั้งนะคะ ลองนึกทบทวนก็จะนึกออกได้ค่ะ แม้ว่าไม่ได้เรียนแพทย์มาค่ะ เป็นการใช้เหตุผลธรรมดาค่ะ

- เป็นอีกได้มั้ยหลังจากที่รักษาแล้วพอใจแล้ว?
.... คำตอบคือเป็นได้ค่ะ....

- มีการป้องกันมั้ย ?
ส่วนใหญ่ก็แนะนำให้ใส่ถุงน่องหนาๆ(compression stockings) ไว้ (ซึ่งหลายๆท่านก็ไม่ชอบ เพราะไม่สวยและอาจจะคัน) การใส่ถุงน่องหนาที่มีประสิทธิภาพ ก็อธิบายได้จากการพยายามช่วยกล้ามเนื้อในการบีบรัดและเลือดออกจากเส้นไปสู่หัวใจ

บ้างก็แนะให้ยกขาสูงเวลาที่มีโอกาส เช่นตอนนอนก็มีหมอนหนุนใต้ส้นเท้า ( แต่อย่างที่บอกนะคะ ในปัจจุบันก็ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน ของที่ไม่ทราบชัดเจนก็ป้องกันลำบากค่ะ ก็ทำเท่าที่ทำได้นะคะ )

พยายามลดน้ำหนัก (ในกรณีที่มีน้ำหนักตัวมาก)

หลักๆที่พูดเรื่องเส้นเลือดขอดนี้ เพื่อต้องการให้ทราบว่ากลไกการเกิดยังไง และถ้าใครเป็นอยู่คล้ายรูปไหน ก็มีคำแนะนำในแต่ละรูปแล้วว่าน่าจะรักษาแบบไหนค่ะ

หมายเหตุ
1. ขอบอกอีกครั้งนึงนะคะว่า ที่ หมอบีคลินิคไม่มีการรักษาเส้นเลือดขอดค่ะ ฉะนั้นอย่าสอบถามหมอเรื่องการราคาการรักษานะคะ เพราะไม่ทราบเลยค่ะ พนักงานรับโทรศัพท์ที่คลินิคก็ไม่ทราบค่ะ

2. หมอพูดถึงการรักษาทางการแพทย์ที่ได้ผลนะคะ สิ่งที่มีขายกันมากมายเช่นครีมโน่นนี่ รบกวนกลับไปอ่านคำอธิบายที่หมอบอกว่าเกิดยังไง Th Sp Sa Fo Tr Pe La Pe Mr Lo Sc Da Di Sa Lo Lo Va Jo St Te Te Te La Bi ก็จะทราบได้เองค่ะว่าทาครีมจะหายมั้ย หมอขอไม่ตอบเรื่องครีมทั้งหลาย และอุปกรณ์หลายอย่างที่มีขายกันนะคะ เพราะหมอจะพูดเฉพาะสิ่งที่การแพทย์รับรองเท่านั้น และไม่ต้องการขัดผลประโยชน์กับคนขายครีมทั้งหลาย ถ้าอ่านแล้วคิดดูดีๆก็จะทราบคำตอบเองได้ค่ะ

3. ถ้าท่านที่อ่านแล้วรู้สึกว่ายาวก็จำเป็นต้องยาวนะคะ เพราะจำเป็นต้องอธิบายให้เข้าใจค่ะ

4. หมอไม่ได้ลงรูป before after เพราะแต่ละคลินิคแต่ละที่ก็มีผลการรักษาที่ต่างกัน ถ้าท่านใดจะทำก็ไปคุยกับคลินิคนั้นๆเลยนะคะ(ทั้งเรื่องว่ามีวิธีไหนบ้าง ทำกี่ครั้ง ราคาเท่าไหร่) ซึ่งคงต้องเอาบริเวณที่เป็นไปให้เค้าตรวจดูด้วยค่ะ