หลายๆคนคงเป็นใช่มั้ยครับ ที่รู้สึกว่าแกรมม่าตัวเองก็แน่น ศัพท์ตัวเองก็ได้ เวลาสอบภาษาอังกฤษในชั้นเรียนก็ทำได้ แต่พอจะเอามาใช้พูดจริงๆทำไมมันพูดไม่เป็นเลย คำถามนี้ตอบได้ง่ายๆเลยคือ ก็ในชั้นเรียนเราฝึกแค่อ่านกับเขียน เราไม่ได้ฝึกพูดกับฟังซักหน่อย พอไม่ได้ฝึกก็เป็นเรื่องธรรมดาครับที่จะไม่ได้ แล้วทีนี้จะฝึกพูดยังไงให้คล่อง ในเมื่อเราก็อยู่ในไทย ไม่มีใครให้พูดภาษาอังกฤษด้วย ผมมีเทคนิคในการฝึกพูดของผมเองมาแชร์ให้อ่านกันครับ
คิดเป็นภาษาอังกฤษ
หลายคนพอได้อ่านก็คงคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ใช่มั้ยครับ เพราะว่าแค่พูดหรือกระทั่งอ่านภาษาอังกฤษยังยากเลย จะไปเอาอะไรกับการคิด แต่ผมอยากจะบอกว่าการคิดเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่าการคิดเป็นภาษาอังกฤษมีประโยชน์ยังไง อย่างแรกเลยคือถ้าเราคิดเป็นภาษาอังกฤษได้เราจะไม่ต้องมาแปลจากภาษาไทยเป็น ภาษาอังกฤษแล้วครับ ประโยชน์ข้อนี้ดีมากๆ เพราะว่าหลายครั้งการแปลจากไทยเป็นอังกฤษทำให้ภาษาอังกฤษที่ได้มาไม่สละสลวยครับ และบางทีอาจจะฟังไม่รู้เรื่องด้วยสำหรับชาวต่างชาติเพราะว่าเค้าไม่พูดกันแบบนั้น(แบบที่เราพูดกันในภาษาไทย) อย่างที่สองเมื่อเราคิดเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว เราจะทำอะไรๆมันก็คล่องและเร็ว ไม่ใช่เฉพาะการพูดอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการเขียน การอ่าน และการฟังด้วยเนื่องจากไม่มีภาษาไทยมาคั่นตรงกลาง
การฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษก็เหมือนกับการฝึกอื่นๆ คือเราไม่ต้องพยายามคิดเป็นภาษาอังกฤษทั้งวันทุกวันนะครับ นั่นก็อาจจะเหนื่อยเกินไป แค่เราเจียดเวลาซักครึ่งชม.หรือมากกว่านั้นมาคิดเป็นภาษาอังกฤษก็พอ และควรจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องทำทุกวันก็ได้ แต่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ แล้วจะเห็นผลครับ (อาจจะฝันเป็นภาษาอังกฤษเลยก็ได้)
ที่นี้เราจะคิดเป็นภาษาอังกฤษได้ยังไงเพราะว่าการคิด(เป็นภาษาใดภาษา หนึ่ง)ในหัวก็เป็นจุดเริ่มต้นแรกในการที่เราจะสื่อสารอะไรออกมา คำตอบคือถูกครึ่งไม่ถูกครึ่งครับ บางครั้งการคิด(เป็นภาษาใดภาษาหนึ่ง)ก็เป็นสิ่งแรกที่เรานึกถึงเวลาจะพูดอะไรออกมา แต่บางครั้งก็ไม่ใช่ครับ เราเคยจะพูดอะไรซักอย่างในภาษาไทยแต่ว่าพูดไม่ออกมั้ยครับ มันติดอยู่ในหัวไม่รู้จะเลือกคำไหนดี หรือว่าไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงประโยคยังไงดี นั่นแหล่ะครับแสดงว่าก่อนหน้าที่มันจะมีคำพูดในหัวเรามันมีความคิดอย่างอื่นก่อนครับ แล้วเราค่อยมาแปลงเป็นภาษาไทยอีกที ผมจะขอเรียกสิ่งนั้นที่อยู่ก่อนหน้าการคิดแบบเป็นภาษาว่า"การคิดเป็นรูป"นะครับ ความจริงมันไม่ใช่การคิดเป็นรูปเสมอไป เพราะว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมเช่น "ทำไม" "อย่างไร" "ความรัก" "ความเป็นส่วนตัว" ก็ไม่ได้เป็นรูป แต่เพื่อให้เข้าใจกันง่ายๆก็จะเรียกว่าการคิดเป็นรูปครับ
ดังนั้น ก่อนที่เราจะดำเนินการเปลี่ยนจากการคิดเป็นรูปของเรามาเป็นการคิดเป็นภาษาไทย ให้เราหยุดแค่การคิดเป็นรูปก่อนครับ บางครั้งการดำเนินการนี้มันเร็วมากจนเราตาม(จิตใจ)เราไม่ทัน แต่ให้เราพยายามที่จะคิดเป็นรูปก่อนครับ จากนั้นแทนที่จะเปลี่ยนจากรูปเหล่านั้นให้กลายเป็นภาษาไทย ให้เราเปลี่ยนมันให้เป็นภาษาอังกฤษครับ เพียงเท่านี้เราก็สามารถที่จะคิดเป็นภาษาอังกฤษได้แล้ว
สำหรับคนที่มีคลังศัพท์เยอะ และแกรมม่าแน่น ผมมั่นใจว่าจะไม่ประสบปัญหาซักเท่าไหร่กับการคิดเป็นภาษาอังกฤษ แต่สำหรับคนที่ศัพท์ยังน้อยอยู่ และแกรมม่ายังไม่แข็ง เมื่อเราคิดเป็นรูปแล้ว แต่สุดท้ายเราก็ไม่รู้จะแปลงเป็นภาษาอังกฤษยังไงเนื่องจากข้อจำกัดดังกล่าว ก็ให้เราหาวิธีสื่อสารอ้อมๆก็ได้ครับ เช่น ถ้าจะบอกว่า “เขาโกหก” แต่นึกคำว่าโกหกไม่ออก ก็ลองเปลี่ยนมาเป็น “เขาไม่พูดความจริง” แต่ถ้ายังไงมันก็ไม่ได้ เราก็ต้องยอมคิดเป็นภาษาไทยก่อนครับ จากนั้นค่อยแปลจากภาษาไทยที่เราคิดให้เป็นภาษาอังกฤษ สำหรับวิธีในการแปลผมอยากให้ใช้การเปิดดิกไทย-อังกฤษเป็นวิธีสุดท้าย วิธีที่แนะนำคือใช้ดิกอังกฤษ-อังกฤษ หรือว่าเสิชกูเกิลเอาครับ ตัวอย่างเช่น เรานึกคำว่า”โกหก”ในภาษาอังกฤษไม่ออก เราก็ลองเปิดดิกอังกฤษหาคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกับ truth หรือไม่ก็ลองเสิชกูเกิลด้วยคีย์เวิร์ดเช่น “word for not telling the truth” เราก็จะได้คำศัพท์ที่ต้องการโดยไม่ต้องเปิดดิกไทย-อังกฤษครับ โดยภาษาอังกฤษที่เราแปลออกมาได้นั้น เราต้องมั่นใจนะครับว่าเป็นอะไรที่เค้าพูดกันในภาษาอังกฤษTo
Bo
Bo
Bo
Em
Cu
Ho
Si
Sa
Th
Ca
Mi
Ma
Ka
Lu
Ps
Bo
Da
Da
Ti
No
Ba
Ba
Ba
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเค้าพูดกันเหมือนที่เราแปลออกมา? ก็ดิกอังกฤษ-อังกฤษกับกูเกิลอีกเช่นเดียวกันครับ หลังจากได้ประโยคภาษาอังกฤษที่มั่นใจว่าถูกต้องแล้ว ก็ให้กลับมาที่เดิมครับ คือพยายามคิดเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม ถ้าไม่ได้ก็ให้คิดเป็นไทยแล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษใหม่ วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆครับตลอดการฝึก
ทั้ง นี้การฝึกนี้ผมแนะนำให้ฝึกกับสิ่งที่เราเจอจริงๆในชีวิตประจำวัน เช่น ตอนนี้เรากำลังชอบผู้หญิงคนนี้อยู่ ก็ให้เราคิดเป็นภาษาอังกฤษเลยว่าจะจีบผู้หญิงคนนี้ยังไงดี หรือว่าตอนนี้เราไม่พอใจที่โดนเจ้านายหรืออาจารย์ต่อว่า ก็ให้เราคิดเลยว่าเพราะเราไม่พอใจตรงไหน และคิดบ่นกับเจ้านายหรืออาจารย์คนนั้นได้เลยครับ ที่ต้องเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันแต่ไม่ใช่เรื่องในบทเรียน ก็เพราะว่าเราจะได้ฝึกใช้ศัพท์และรูปประโยคที่ต้องเจอบ่อยๆในแต่ละวันครับ และอีกเรื่องหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องฝึกคิดเป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลานะครับ การฝึกอาจจะกินเวลาแค่ครึ่งชม.ต่อวัน ถึงหลายๆชม.ต่อวันก็ได้ และก็ไม่ต้องฝึกทุกวันก็ได้ แต่แค่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอก็พอ แล้วจะเห็นผลครับ
ฝึกกับชาวต่างชาติ
เวลาเราเรียนภาษาอังกฤษสนทนาตามสถานที่เรียนพิเศษหรือโรงเรียน เมื่อเราต้องฝึกสนทนาเราจะต้องฝึกพูดภาษาอังกฤษกับคนไทยด้วยกัน นั่นเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งเพราะว่าเมื่อเราพูดเป็นภาษาอังกฤษไม่ออกเราก็จะพูดออกมาเป็นภาษาไทย แต่ถ้าหากเปลี่ยนจากคนไทยเพื่อนเราเป็นคนต่างชาติ จะไม่มีภาษาไทยในบทสนทนาระหว่างเรากับเพื่อนอีกต่อไป เมื่อนั้นเราจะแสดงศักยภาพสูงสุดในการพูดภาษาอังกฤษครับ เพราะเราต้องทำยังไงก็ได้ให้เพื่อนเราเข้าใจในสิ่งที่เราพยายามจะบอกเค้า
ทั้งนี้เพื่อนต่างชาติไม่จำเป็นต้องเป็นเพื่อนที่มีภาษาแม่เป็นภาษาอังกฤษอย่างเดียวนะครับ อาจจะเป็นคนเอเชีย เช่น คนจีน คนญี่ปุ่น คนเวียดนาม ฯลฯ ก็ได้ หรือว่าจะเป็นคนยุโรป เช่น คนฮอลแลนด์ คนเยอรมัน คนฝรั่งเศส ฯลฯ ก็ได้ครับ การมีเพื่อนต่างชาติที่ภาษาแรกไม่ใช่ภาษาอังกฤษอาจจะมีข้อเสียตรงที่เค้าอาจจะไม่รู้ภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ก็มีข้อดีตรงที่เค้าจะเข้าใจเราครับ เราไม่ต้องกลัวเค้ารำคาญ และส่วนมากคนพวกนี้โดยเฉพาะคนเอเชียด้วยกันจะฟังเราเข้าใจกว่าครับ ทั้งในเรื่องของสำเนียงและเรื่องของแกรมม่า ต่อให้เราพูดสำเนียงไม่ดี หรือแกรมม่าผิดๆ เค้าจะฟังเราเข้าใจกว่าคนที่มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่แน่นอนครับ อันนี้จากประสบการณ์ของผมเอง
แล้วเราจะไปหาเพื่อนต่างชาติจากที่ไหน? มีสามวิธีที่จะแนะนำครับ
วิธีที่หนึ่งคือเราไปต่างประเทศเองเลยครับ และจะดีมากถ้าหากที่ๆเราไปไม่มีคนไทยอาศัยอยู่ หรืออาจจะมีก็ได้ แต่ไม่ใช่คนไทยที่เราต้องอาศัยอยู่ด้วยกันหรือเจอกันบ่อยๆนะครับ การไปต่างประเทศก็มีหลายแบบ มีทั้งแบบระยะสั้น หรือว่าแบบระยะยาว แบบระยะสั้นอาจเป็นสัปดาห์หรือไม่กี่เดือน ส่วนมากจะเป็นพวกไปเข้าค่าย ไปทริป หรือไปอบรม ส่วนแบบระยะยาวอาจจะหลายเดือนหรือเป็นปีๆ จะเป็นพวกแลกเปลี่ยนและเรียนต่อ ถ้าเรายังติดอยู่หลายเรื่องที่ทำให้เราไม่พร้อมในการใช้ชีวิตต่างประเทศระยะยาวผมก็แนะนำแบบระยะสั้นครับ แบบระยะสั้นก็เพียงพอแล้วครับในการได้เพื่อนสนิทต่างชาติมาคนสองคนหรือมากกว่านั้น เพื่อนต่างชาติที่ผมสนิทหลายคนก็เคยเจอกันแค่ไม่กี่วันที่ต่างประเทศเมื่อสองสามปีก่อน แต่ก็ยังคุยติดต่อกันอยู่จนถึงปัจจุบัน ส่วนคนที่พร้อมแบบระยะยาวก็จัดไปครับ คุณจะได้ประสบการณ์ที่มีค่ามากกว่าภาษากลับมาแน่นอน
วิธีที่สองคือเราไม่ต้องไปต่างประเทศครับ เราอยู่ไทย แต่ให้เราเข้าร่วมโครงการ โปรแกรม หรือชมรมที่ดำเนินการนำชาวต่างชาติมาทำกิจกรรมที่ประเทศไทยครับ Bo
Ba
Le
An
To
Ja
Cu
No
Ve
Ra
Ma
Ce
Mi
Cu
Ar
Sj
Ka
No
He
Al
Vo
Da
L โครงการเหล่านี้หาได้จากไหน? ส่วนมากมหาลัยมีครับ ต้องลองไปติดต่อหน่วยงานในมหาลัยที่ดูแลเรื่องเกี่ยวกับต่างประเทศดู อย่างเช่นของจุฬาฯ หน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ก็คืออินเตอร์จุฬาฯ เมื่อเราเข้าร่วมโครงการเหล่านี้หน้าที่ของเราก็คือจะคอยดูแลชาวต่างชาติเหล่านี้เมื่อเค้ามาถึงประเทศไทยครับ และชาวต่างชาติที่มาส่วนมากก็สนใจในประเทศไทยอยู่แล้วครับ เค้าถึงได้เลือกมาไทย สนุกดีนะครับ นอกจากจะได้ภาษาแล้ว เรายังได้แลกเปลี่ยน culture กับเค้าด้วย ได้พาเค้าเที่ยว พาเค้ากิน สอนภาษาไทย และอื่นๆอีกเยอะครับ
ทิ้งท้าย
สุดท้ายนี้ผมขอให้กำลังใจทุกๆคนที่อยากเก่งภาษาอังกฤษนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าเรามุ่งมั่นและตั้งใจฝึกอย่างสม่ำเสมอแล้ว ในที่สุดความเพียรของเรานั้นก็จะบังเกิดผล ผมไม่อยากใช้คำว่า”สำเร็จ” เพราะว่าถ้าเราคิดว่าเราสำเร็จแล้วเราก็อาจจะอยู่กับที่ก็ได้ แล้วก็อยากจะฝากทัศนคติครับ ว่าการมีสำเนียงไม่ดีไม่ชัดเป็นเรื่องที่ไม่เสียหายนะครับ เพราะคนแต่ละประเทศก็มีสำเนียงไม่เหมือนกัน ขอแค่อ่านออกเสียงให้ถูกและพูดฟังรู้เรื่องก็พอ ส่วนสำเนียงถ้าได้ก็ดีแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลถ้าหากไม่ได้ สำหรับคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ผมขอฝากบล็อกภาษาอังกฤษไว้หน่อยนะครับ
No comments:
Post a Comment